11 แห่งที่ไม่ควรพลาดเลยเมื่อไปเที่ยวตุรกี
September 24, 2019 by Wow Together Travel
11 แห่งที่ไม่ควรพลาดเลยเมื่อไปเที่ยวตุรกี
1. Sultan Ahmed Mosque หรือ Blue Mosque
สุเหร่าสีน้ำเงิน สุเหร่าสุลต่านอาห์เหม็ดที่ 1 หรือสุเหร่าสีน้ำเงิน ตั้งอยู่ตรงข้ามกับพิพิธภัณฑ์ฮาเกียโซเฟีย เริ่มก่อสร้างในปี ค.ศ. 1609 เนื่องจากสุลต่านอาห์เหม็ดที่ 1 ต้องการสร้างสุเหร่าศิลปะตะวันออกแบบออตโตมันให้ใหญ่กว่าโบสถ์ฮาเกียโซเฟีย โดยสร้างหันหน้าเข้าหากันแต่อยู่คนละฝั่งเพื่อประชันความยิ่งใหญ่และสวยงาม เอกลักษณ์ของสุเหร่าแห่งนี้คือด้านในสุเหร่าประดับด้วยกระเบื้องสีฟ้าทั้งหมดยามต้องแสงจึงสวยงามมาก ทั้งยังมีลานด้านหน้าที่กว้างที่สุดในกลุ่มสุเหร่าแบบออตโตมันและมีหอสวดมนต์อยู่ถึง 7 หอ
2. Hagia Sophia
พิพิธภัณฑ์ฮาเกียโซเฟีย เป็นสิ่งก่อสร้างสถาปัตยกรรมไบแซนไทน์ที่ยิ่งใหญ่และสวยงามที่สุดในเมืองอิสตันบูลประเทศตุรกี เดิมเคยเป็นโบสถ์ของศาสนาคริสต์นิกายออร์ทอดอกซ์สร้างโดยจักรพรรดิจัสติเนียนแห่งไบแซนไทน์ ต่อมาในปี ค.ศ. 1453 จักรวรรดิออตโตมันมีชัยชนะเหนือจักรวรรดิไบแซนไทน์ สุลต่านเมห์เหม็ดที่ 2 จึงดัดแปลงโบสถ์ให้เป็นสุเหร่าแทน โดยสุเหร่าฮาเกียโซเฟียเป็นสุเหร่าหลักของเมืองอิสตันบูลยาวนานกว่า 500 ปี ก่อนรัฐบาลตุรกีจะดัดแปลงให้เป็นพิพิธภัณฑ์ในปี ค.ศ. 1935 ความโดดเด่นของที่นี่คือยอดโดมขนาดใหญ่และความงดงามของสถาปัตยกรรมการตกแต่งที่ผสมผสานระหว่างศิลปะไบแซนไทน์กับศิลปะออตโตมันเข้าด้วยกัน
3. The Balisilica Cistern, Istanbul
อุโมงค์เก็บน้ำใต้ดินใหญ่สุดในอิสตันบูล อ่างเก็บน้ำแห่งนี้มักจะถูกเรียกว่า ‘พระราชวังใต้น้ำ’เนื่องจากสถานที่แห่งนี้ใช้เป็นอ่างเก็บน้ำใต้ดินโบราณที่ใหญ่ที่สุดท่ามกลางอ่างเก็บน้ำโบราณกว่าร้อยแห่งของเมือง มีลักษณะเป็นอุโมงค์ใต้ดินขนาดใหญ่ราวๆ กับมหาวิหารและสามารถกักเก็บน้ำได้ถึง 80,000 ลูกบาศก์เมตรซึ่งสามารถเก็บน้ำได้เยอะสุดๆ
4. Cappadocia
เมืองคัปปาโดเกีย ได้รับการยกย่องให้เป็นเมืองมรดกโลกจากองค์การยูเนสโกเมื่อปี ค.ศ. 1985 เป็นสถานที่ท่องเที่ยวตุรกีที่มีภูมิประเทศโดดเด่น ลักษณะเป็นภูเขาหินและขรุขระเหมือนโลกพระจันทร์เพราะเกิดจากการระเบิดของภูเขาไฟ ชาวพื้นเมืองในสมัยก่อนเจาะภูเขาเป็นโพรงหินเพื่อใช้เป็นที่อยู่อาศัยและสร้างสิ่งก่อสร้างต่างๆ ในเมืองคัปปาโดเกียมีสถานที่ท่องเที่ยวน่าสนใจอยู่มากมาย เช่น เมืองใต้ดิน ปราสาทอุชหิซาร์ และกลุ่มโบสถ์มรดกโลกกลางแจ้งโกเรเม่
5. Pamukkale ปามุคคาเล หรือ ปราสาทปุยฝ้าย (Cotton Castle)
เป็นมรดกโลกทางธรรมชาติของประเทศตุรกี ความโดดเด่นของที่นี่คือ ลักษณะภูมิประเทศที่เป็นหน้าผาหินปูนสีขาวเหมือนหิมะไล่ระดับลดหลั่นกัน โดยในแต่ละชั้นก็จะเป็นแอ่งน้ำแร่ที่เรียกว่า Travertine Hot Spring ที่เป็นแหล่งสปาธรรมชาติมาตั้งแต่โบราณ นักท่องเที่ยวนิยมไปแช่น้ำแร่ที่นี่เพราะเชื่อว่าแอ่งน้ำแร่แห่งนี้สามารถรักษาโรค เช่น โรคหัวใจ โรคไต และโรคไขข้ออักเสบได้
6. Ephesus อีเฟซัส
เมืองอีเฟซัสเป็นเมืองโบราณที่มีมาตั้งแต่ก่อนคริสตกาลเป็นเมืองหลวงของโรมันในอดีตและได้รับการยกย่องว่าเป็นมหานครที่ใหญ่ที่สุดแห่งแรกในเอเชีย ศิลปะและสถาปัตยกรรมภายในเมืองเป็นแบบกรีก – โรมัน แหล่งท่องเที่ยวหลักๆ ภายในเมืองคือ The Library of Celcus หอสมุดประจำเมืองศิลปะแบบเฮลเลนนิสติก โรงละครเอฟิอุซ โรงละครกลางแจ้งโบราณที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 3 ในประเทศตุรกี และวิหารเทพีอาร์ทีมิส
7. ภูเขาเนมรุต (Mount Nemrut)
อยู่ใกล้กับเมืองอาดึยามัน (Adiyaman) ทางตะวันออกเฉียงใต้ของตุรกีค่ะ มีความสูง 2,134 เมตร เป็นที่ตั้งของสุสานกษัตริย์แห่งอาณาจักรโคมายานา (Commagene Kingdom) ได้ขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลกโดยยูเนสโกอีกด้วย สร้างขึ้นโดยกษัตริย์แอนทิโอคัสที่ 1 (Antiochos I) ซึ่งสุสานบนยอดเขาแบบนี้เป็นที่นิยมมากในอารยธรรมยุคโบราณ มีการแกะสลักรูปปั้นหินขนาดใหญ่กระจายอยู่เต็มยอดเขา มีรูปปั้นศีรษะคนแทนบุคคลสำคัญต่างๆ รูปปั้นบูชาเทพเจ้ากรีก เช่น เทพเจ้าซุส เทพเฮอร์คิวลิส รวมถึงสิงโต และนกอินทรีย์ซึ่งถือเป็นองครักษ์ผู้คุ้มครองสุสานแห่งนี้ด้วยค่ะ ขอบอกว่าขนาดของรูปปั้นนี่ใหญ่โตเว่อร์วังมาก มีความสูงถึง 10 เมตร แต่เวลาผ่านไปหัวของรูปปั้นก็ร่วงลงมา จึงจับมาวางเรียงกันเป็นแถว
8. พิพิธภัณฑ์กลางแจ้งเกอเรเม่ (Göreme Open Air Museum)
พิพิธภัณฑ์กลางแจ้งเกอเรเม เป็นสถานที่ที่มีความงดงามและเต็มไปด้วยคุณค่าทางประวัติศาสตร์ ได้รับขึ้นทะเบียนจากองค์การยูเนสโกให้เป็นมรดกโลกในปี 1984 สร้างโดยชาวคริสต์ที่หลบหนีการเข่นฆ่าคนต่างศาสนาของทหารออตโตมัน และสร้างโบสถ์ไว้มากกว่า 30 แห่ง จนกลายเป็นศูนย์กลางสำนักสงฆ์เมื่อราวปี 300-1200 ภายในมีภาพวาดเฟรสโกบนผนังและเพดานภายในถ้ำที่ถูกวาดไว้ตั้งแต่ศตวรรษที่ 9 ช่างงดงามตราตรึงใจแก่ผู้มาเยือน
9. เดอรินกูยู (Derinkuyu Underground City )
เมืองใต้ดินของตุรกีแห่งนี้ถูกค้นพบโดยบังเอิญในปี 1960 เดอรินกูยู มีความลึกถึง 11 ชั้น ถือเป็น เมืองใต้ดิน ที่ลึกที่สุด ใน 40 เมือง ที่ถูกขุดพบ เมืองใต้ดินแห่งนี้มีระบบการระบายอากาศที่สมบูรณ์แบบอย่างมาก มีระบบถ่ายเทและไหลเวียนของช่องอากาศไม่ต่ำกว่า 15,000 ช่อง ภายในประกอบไปด้วย ช่องตะเกียงน้ำมันให้แสงสว่าง ที่เก็บน้ำ ร้านค้า ห้องพัก ห้องเก็บไวน์ ห้องเรียน ห้องสาธารณะ คอกม้าและโบสถ์ สถานที่แห่งนี้ถูกสร้างขึ้นโดยชาวคริสต์ เพื่อ ใช้เป็นที่หลบภัยและที่อาศัยใต้ดินหากมีการรุกรานของพวกโรมัน นับเป็นสถานที่สุด มหัศจรรย์ เพราะไม่น่าเชื่อเลยว่า คนสมัย เมื่อหลายพันปีก่อน จะสามารถ สร้างเมืองใต้ดิน ที่มีทุกสิ่งทุกอย่างได้โดยปราศจากเครื่องไม้ เครื่องมือใดๆเลย ( https://bit.ly/2X6c3ND )
10. พระราชวังโดลมาบาห์เช่ (Dolmabahce Palace)
พระราชวังที่มีความงดงามอย่างโดดเด่นบ่งบอกถึงความเจริญอย่างสูงสุดทางด้านวัฒนธรรมและสถาปัตยกรรม ของจักรวรรดิออตโตมันในยุคนั้น ก่อสร้างโดยใช้ศิลปะผสมผสานแบบยุโรป และตะวันออก ภายในประกอบด้วยห้องต่างๆมากมายรวมถึงฮาเร็ม ที่ตกแต่งไว้อย่างวิจิตรงดงาม ,ทุกห้องตกแต่งด้วยโคมระย้าอย่างหรู บันไดลูกกรงแก้วเจียรนัย และยังมีโคมไฟมหึมาที่หนักถึง4.5 ตัน นาฬิกาทุกเรือนของที่นี่จะถูกตั้งเวลาไว้ที่ 09.05 น. เพื่อเป็นอนุสรณ์และเป็นการระลึกถึงเวลาที่เคมาล อตาเติร์ก วีรบุรุษของชาติถึงแก่อสัญกรรมใน วันที่ 10 พฤศจิกายน ( https://bit.ly/2X6c3ND )