สถานที่ท่องเที่ยวในประเทศโปรตุเกส
แม้โปรตุเกสจะรวมเอาวัฒนธรรมหลากหลายเข้ามาในประเทศ แต่สถานที่ที่องเที่ยวที่สำคัญที่ยังคงงดงามและรอคอยให้นักท่องเที่ยว ต่างพากันเดินทางมาค้นหาและสัมผัสด้วยตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นความงามของธรรมชาติ หรือสถาปัตยกรรม รวมถึงอารยธรรมและวิถีชีวิตเดิมๆ ที่ยังคงหลงเหลืออยู่ อาทิ เช่น
1. เที่ยวเมืองลิสบอน (Lisbon) ลิสบอน เมืองหลวงของโปรตุเกส ที่ “wow together travel”แนะนำว่าเป็น 1 ใน 10 เมืองใหญ่ของโลกที่มีเสน่ห์และน่าค้นหา โดดเด่นในเรื่องความงดงามของภูมิประเทศที่มีชายหาด มีชื่อเสียงด้านเดินเรือทางทะเล และยังมีพื้นที่ราบและภูเขา เป็นเมืองทันสมัยที่ผสมผสานกับสถาปัตยกรรมเก่าแก่แบบดั้งเดิมได้อย่างลงตัวสุดๆ เรียกได้ว่าถ้าใครได้มา ต้องตกหลุมรักลิสบอนแน่นอนค่ะ
2. เที่ยวหอคอยบีเล็ม (Belem Tower)หอคอยบีเล็ม สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1514 – ค.ศ. 1520 ตามสไตล์มานูลิโน่ (Manuelino style) แบบโปรตุเกส ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกจากองค์การ UNESCO ในปี ค.ศ. 1983 เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีประวัติศาสตร์ยาวนาน หรูหรา อลังการ แถมบรรยากาศก็ดี เพราะถูกสร้างอยู่ปากอ่าวแม่น้ำเทกัส (Tagus River) เคยเป็นป้อมปราการเพื่อปกป้องเมืองลิสบอนในอดีต ต่อมาใช้เป็นประภาคารและด่านศุลกากร สำหรับอำนวยความสะดวกในการเดินเรือยามค่ำคืน ทางเดินเข้าไปสู่หอคอยบีเล็มจะต้องผ่านสะพาน โดยภายในถูกแบ่งเป็น 5 ชั้น มีบันไดวนให้เราขึ้นไปที่ระเบียงดาดฟ้าด้วยค่ะ ชั้นล่างสุดเป็นห้องโถงชั้นมีต่างถึงหน้าต่าง 16 บาน และมีปืนใหญ่ประจำไว้ แต่ละชั้นก็แบ่งเป็นห้องผู้ว่าราชการ, ห้องพระราชา, ห้องรับรองเยี่ยมชม, ห้องสวดมนต์ และระเบียงบนหลังคา งานนี้คุ้มค่าสุดๆ เรียกว่าใครมาโปรตุเกสต้องห้ามพลาดเลย
3. เที่ยวอารามเจโรนิโมส์ (Jerónimos Monastery)อารามเจโรนิโมส์ เป็นสัญลักษณ์ที่แสดงถึงภาคภูมิใจในความรุ่งเรือง มั่งคั่ง และเพื่อเป็นการสรรเสริญคณะสำรวจ วาสโก ดา กามา (Vasco de Gama)ชาวโปรตุเกสที่ค้นพบอินเดียได้สำเร็จ อารามเจโรนิโมส์แห่งนี้ตกแต่งด้วยสถาปัตยกรรมแบบมานูเอลไลน์ที่สวยงาม เมื่อเราก้าวเข้ามาในอารามจะเห็นน้ำพุ และระเบียงทางเดินไปยังโบสถ์ซานตามาเรียที่ตกแต่งด้วยเสาแกะสลักลวดลายสัตว์ทะเล ปะการังต่างๆ บนผนังบรรยายเรื่องราวในพระคัมภีร์ไบเบิลอย่างวิจิตรตระการตา ไปจนถึงเพดานโค้งที่สวยงาม เรียกได้ว่าเดินชมเพลินจนเมื่อยคอกันเลยทีเดียว การเดินทางไปหอคอยบีเล็ม และอารามเจโรนิโมส์ ก็สะดวกมาก เพราะอยู่ห่างจากลิสบอนเพียง 6 กิโลเมตรเท่านั้นเอง มีทั้งรถราง รถโดยสาร และรถไฟ ใครชอบการเดินทางแบบไหน ก็เลือกได้ตามสะดวกเลย แถมอยู่ใกล้กับพระราชวังอาจูดา (Ajuda Palace) ถือได้ว่าไปที่เดียวได้เที่ยวหลายแห่งเลย สำหรับการเข้าชม
4. เที่ยวปราสาทเซนต์จอร์จ (Sao Jorge Castle) ปราสาทเซนต์จอร์จ สร้างขึ้นในช่วงกลางศตวรรษที่ 11 ในช่วงยุคแขกมัวร์เพื่อเป็นป้อมปราการป้องกันภัย ต่อมาในปี ค.ศ.1147 กษัตริย์โปรตุเกสราชวงศ์มัวร์ เข้ามายึดครองและเปลี่ยนเป็นที่พักอาศัย ตั้งตระหง่านอยู่บนยอดเขาที่สูงที่สุดในลิสบอน ไม่ว่าเราจะอยู่ที่ไหนในลิสบอนก็สามารถมองเห็นปราสาทได้อย่างเด่นชัดเลยล่ะค่า ซึ่งตัวปราสาทจะถูกล้อมรอบไปด้วยย่านเมืองเก่าอัลฟามา และคาสเทอโรที่เป็นเมืองตากอากาศยอดนิยม ปราสาทเซนต์จอร์จแห่งนี้ถือว่าเป็นแลนด์มาร์คที่สำคัญ ถ้าไม่มาถือว่ามาไม่ถึงโปรตุเกส เมื่อผ่านประตูใหญ่ก็มีกิจกรรมให้ทำมากมาย ได้พบกับรูปปั้นของกษัตริย์อาฟงซู เอ็งรีกึช (Afonso Henriques)ที่อยู่ท่ามกลางสวนหย่อมอันร่มรื่นเหมาะแก่การพักผ่อน ฟังเสียงดนตรีเพราะๆ นั่งจิบกาแฟชิลล์ๆ พร้อมกับชมความน่ารักของนกยูง สามารถเดินลัดเลาะสำรวจพิพิธภัณฑ์เครื่องปั้นดินเผาแสนสวย หอคอย กำแพงรั้ว และปืนใหญ่รอบๆ ตัวปราสาท หรือเพลิดเพลินไปกับวิวทิวทัศน์อันงดงาม มองลงไปจะเห็นมหาสมุทรแอตแลนติก สวยทั้งกลางวันและกลางคืนเลยค่า บรรยากาศแบบวินเทจ ถูกใจสาวชิค ตึกต่างๆ สีสันสวยงาม ยามเย็นจะมีแสงสีทองอ่อนๆ กลางคืนก็มีแสงไฟตกกระทบกับตัวปราสาท สะท้อนให้เห็นถึงความงามของยอดเขาเซนต์จอร์จ หืมมม สวยเกินบรรยาย
5. เที่ยวนั่งรถรางหมายเลข 28 (Tram 28) รถรางหมายเลข 28 ทำขึ้นมาจากไม้ สร้างมาตั้งแต่สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ด้วยตัวรถสีเหลืองสดโดดเด่นจึงดึงดูดให้นักท่องเที่ยว อยากนั่งรถรางชมบรรยากาศย่านเมืองเก่าของลิสบอนกันซะจริงๆ เส้นทางไฮไลท์เริ่มต้นที่จตุรัส Martim Moniz ไปถึงอนุสาวรีย์ Chafariz do Intendente สำหรับสายกินเมื่อมีโอกาสมาเมืองนี้ก็ต้องแวะไปชิมต้นตำรับทาร์ตไข่ของโปรตุเกสอันโด่งดังกันหน่อย ร้านที่มีชื่อมากที่สุดในย่านนี้คื ร้าน Pasteis de Belémรสชาติหอมนุ่มละมุนลิ้น ลิ้มรสของหวานเสร็จแล้วค่อยไปสถานที่ท่องเที่ยวอื่นๆ กันต่อ เช่น ปราสาทเซนต์จอร์จ (São Jorge Castle) ย่านเมืองเก่าอัลฟามา (Alfama) และอนุสาวรีย์แห่งการค้นพบ (Padrão dos Descobrimentos) เหนื่อยจากการเดินชมเมืองหรือไม่อยากนั่งบัส รถรางก็ถือเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่น่าสนใจ หาซื้อตั๋วได้ทั้งบนรถและที่จุดบริการทั่วเมืองได้เลย
6. เที่ยวพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำลิสบอน ( Lisbon Oceanarium ) เปลี่ยนบรรยากาศชมสัตว์โลกใต้ทะเลน่ารักๆ กันบ้างดีกว่า พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำลิสบอน ถือว่าเป็นพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำในร่มที่ใหญ่ที่สุดในยุโรปที่ต้องมาชมกันเลยค่ะ เมื่อเข้าไปสู่ภายในแล้ว ก็ต้องร้องอู้หูววกันเลยทีเดียว ตื่นตาตื่นใจ เพราะแบ่งออกเป็นห้องกระจกแท็งส์น้ำขนาดใหญ่มากถึง 4 ห้อง มีสัตว์น้ำมากกว่า 450 สายพันธุ์ ทั้งฉลาม ฉลามวาฬ นกเพนกวิน นากทะเล และสัตว์ทะเลน้ำลึกที่หาดูได้ยาก อย่างปลาไหลไฟฟ้า มีปะการังแปลกตาสีสันสวยงาม และมีห้องนิทรรศการจัดแสดงสัตว์น้ำประเภทต่างๆ ที่หมุนเวียนผลัดเปลี่ยนอีกมากมาย ได้ทั้งความรู้และความสนุก ใครสนใจมาได้ทุกวันไม่มีวันหยุดค่ะ เปิดเวลา 10:00 น. – 19:00 น. และราคาตั๋วเริ่มต้นที่ 10 ยูโรค่ะ
7. เที่ยวอนุสาวรีย์แห่งการค้นพบ Padrão dos Descobrimentos ) อนุสาวรีย์แห่งการค้นพบ (Padrão dos Descobrimentos) สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1960 เพื่อเป็นการฉลองครบรอบ 500 ปี การสิ้นพระชนม์ของพระเจ้าเฮนรี่ และระลึกถึงนักผจญภัยที่ทำให้โปรตุเกสกลายเป็นมหาอำนาจในศตวรรษที่ 14 มีลักษณะเป็นรูปทรงเรือใบที่มีความสูงถึง 52 เมตร พร้อมรูปปั้นพระเจ้าเฮนรี่ และเหล่านักผจญภัย ตั้งอยู่บนชายฝั่งของแม่น้ำเทกัส ภายในอนุสาวรีย์แห่งการค้นพบ มีพิพิธภัณฑ์ทางทะเล และสามารถขึ้นลิฟท์ไปชมวิวสวยๆ ถ่ายรูปชิลล์ๆ ก็ฟินไปอีกแบบ
8. เที่ยวเมืองซินตรา ( Sintra ) ซินตรา เป็นอีกหนึ่งไฮไลท์ของการท่องเที่ยวในโปรตุเกส ที่ได้รับการยกย่องในบทกวีให้เป็น “Glorious Eden” จากลอร์ดไบรอน (Lord Byron) ชาวอังกฤษ และกลายเป็นศูนย์กลางแห่งสถาปัตยกรรมที่โรแมนติกแห่งแรกของยุโรปในศตวรรษที่ 19 จนทำให้เมืองนี้เป็นมรดกโลกในปี ค.ศ. 1995 และสถานที่ท่องเที่ยวเราไม่ควรพลาด คือการเยี่ยมชมพระราชวังแห่งชาติเปนาที่งดงามราวกับอยู่ในเทพนิยาย ปราสาทของชาวมัวร์ที่เต็มไปด้วยประวัติศาสตร์ และพระราชวังแห่งชาติของโปรตุเกสที่หรูหราอลังการดาวล้านดวง
9. เที่ยวพระราชวังแห่งชาติเปนา ( Pena National Palace )พระราชวังแห่งชาติเปนา (Pena National Pena” และเป็นยุคกลางของยุโรป เพื่ออุทิศให้ “Our Lady of Palace) เริ่มสร้างสมัยโบสถ์อารามของนักบุญ ต่อมาปี ค.ศ.1755 ได้รับความเสียหายจากฟ้าผ่าในเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งใหญ่จนถูกทิ้งร้างไป จนกระทั่งกษัตริย์เฟอร์ดินัลที่ 2 (King Ferdinand II) ได้บูรณะและก่อสร้างเพิ่มเติมไว้ใช้เป็นพระราชวังตากอากาศในฤดูร้อน และเป็นหนึ่งในแรงบันดาลใจให้พระเจ้าลุดวิจที่ 2 แห่งบาวาเรียKing Ludwing II นำมาสร้างปราสาทปราสาทนอยชวานชไตน์ Neuschwanste ซึ่งภายหลังได้กลายเป็นต้นแบบปราสาทเทพนิยายในดิสนีย์แลนด์ ให้กับ วอลต์ ดิสนีย์ (Walt Disney) นั่นเอง พระราชวังแห่งนี้ตั้งอยู่บนยอดเขาซินตรารายล้อมไปด้วยต้นไม้นานาพันธุ์เขียวชอุ่ม ภายนอกออกแบบมาจากศิลปะอิสลามที่มีโดม หอคอย และหอนาฬิกา ตกแต่งด้วยสีพาสเทลเหลืองอร่ามสลับกับสีแดงสด ตัดกันอย่างลงตัวเลยค่ะ เราสามารถเดินทะลุถึงกันหมดได้ ไม่ว่าจะเป็นหอสังเกตการณ์ ป้อมปราการ อุโมงค์ทางเข้า สะพานชัก ภายในออกแบบตกแต่งสะท้อนอิทธิพลทางวัฒนธรรมทางตะวันออกกลางผสมกับยุโรป เหมือนเมืองเทพนิยาย อลังการจนได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลกของยูเนสโก ค.ศ.1995 และเป็นหนึ่ง 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโปรตุเกสที่ต้องมาให้ได้
10. เที่ยวปราสาทของชาวมัวร์ ( Castelo dos Mouros ) ปราสาทของชาวมัวร์ ก่อสร้างขึ้นประมาณศตวรรษที่ 10 โดยแขกมัวร์ ตั้งอยู่บนยอดเขาซินตรา มีกำแพงหินเป็นแนวทางยาวตลอดสันเขา เพื่อใช้เป็นป้อมปราการป้องกันเมืองซินตรา จัดว่าเป็นจุดที่มั่นทางยุทธศาสตร์สำหรับการทำสงครามกันในอดีต ภายหลังได้รับความเสียหายจากแผ่นดินไหวอย่างหนัก และได้รับการบูรณะซ่อมแซมโดยกษัตริย์เฟอร์ดินัลที่ 2 (King Ferdinand II) จากประวัติศาสตร์ที่มีมาอย่างยาวนาน ทำให้ได้รับการยกย่องให้เป็นอนุสาวรีย์แห่งชาติในปี ค.ศ. 1910 และเป็นส่วนหนึ่งของภูมิทัศน์ทางวัฒนธรรมของเมืองซินตราที่ยูเนสโกรับรองให้เป็นมรดกโลก ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1995 ภายในปราสาทของชาวมัวร์ มีบรรยากาศที่ร่มรื่นปกคลุมไปด้วยต้นไม้นานาพันธุ์ ให้ความรู้สึกเย็นสบาย เดินเยี่ยมชมได้เรื่อยๆ ทั้งโบสถ์ หอคอย และอ่างเก็บน้ำฝน มองลงมาจะเห็นพระราชวังแห่งชาติเปนาของโปรตุเกส เมืองซินตรา และที่ราบกว้างใหญ่เขียวสดตัดกับน้ำทะเลสีฟ้าเข้มในมหาสมุทรแอตแลนติก
11. เที่ยวพระราชวังแห่งชาติของโปรตุเกส (Royal Palace) พระราชวังแห่งชาติของโปรตุเกส สร้างขึ้นในศตวรรษที่ 9 โดยผู้ว่าการรัฐซินตราที่เป็นชาวมัวร์ในอดีต ต่อมาราชวงศ์โปรตุเกสได้ปรับปรุงบูรณะและขยายการก่อสร้างเพิ่มเติม ด้วยสถาปัตยกรรมแบบโกธิคและแขกมัวร์เข้าด้วยกันอย่างลงตัว ลักษณะภายนอกมีจุดเด่นคือ ปล่องไฟคู่ทรงสูงสีขาวขนาดใหญ่ยื่นออกมาสู่ด้านบน ความสูง 33 เมตรทำให้พระราชวังมีความสวยสง่างามแบบเรียบง่าย แต่ก็ซ่อนความหรูหราไว้ ภายในแบ่งเป็นห้องต่างๆ ประดับประดาไปด้วยสิ่งของล้ำค่าในยุคอดีต เมื่อเราก้าวเข้าสู่ห้องนกกางเขน (Magpies Room) จะได้พบกับภาพเขียนบนไม้เป็นรูปนกกางเขนแต่ละตัวถือดอกกุหลาบอยู่ในอุ้งมือ ถัดมา ห้องหงส์ (Swans Room) เป็นห้องจัดงานแต่งงานของเชื้อพระวงศ์ที่หรูหรา เพดานแบ่งออกเป็นแผงแปดเหลี่ยม ตกแต่งด้วยศิลปะภาพวาดบนกระเบื้องเคลือบเงาดีบุก (Azulejos) รูปหงส์ที่งดงาม เดินต่อมาจะพบกับ ห้องจัดแสดงเสื้อคลุม 72 ตระกูลผู้สูงศักดิ์ในโปรตุเกส (Coats of Arms Room) จุดเด่นคือผนังที่ตกแต่งด้วยกระเบื้องเคลือบสีฟ้าขาวในศตวรรษที่ 16 ภาพฉากการล่าสัตว์ในป่า เพดานที่มีลวดลายสีทองสุกสว่าง และสุดท้ายห้องครัวที่มีขนาดใหญ่ปรุงอาหารเลี้ยงแขกได้กว่าพันคนเลย
12. เที่ยวเมืองปอร์โต (Porto) ปอร์โต เป็นเมืองใหญ่อันดับสองของโปรตุเกสรองจากลิสบอน ได้รับการประกาศให้เป็นเมืองแห่งวัฒนธรรมของยุโรปในปี ค.ศ. 2001 เมืองปอร์โตมีชื่อเสียงในเรื่องการผลิตไวน์แดงชั้นนำของโลก มีท่าเรือที่มีประวัติศาสตร์ให้น่าศึกษา แหล่งท่องเที่ยวยามค่ำคืนที่คึกคัก ร้านอาหารอร่อย และแหล่ง ช็อปปิ้งที่สาวๆ ขาช็อปต้องมาโดน
13. เที่ยวถนน Avenida Dos Aliados เป็นถนนสายประวัติศาสตร์ ตั้งอยู่ใจกลางเมืองปอร์โต ในอดีตเป็นเพียงตรอกซอกซอย สำหรับการค้าขายพบปะพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นทางเศรษฐกิจ การเมือง และสังคม ต่อมาในปี ค.ศ. 1916 ได้เริ่มก่อสร้างถนนสายนี้ขึ้น โดยหินก้อนแรกที่นำมาใช้ในการก่อสร้าง ได้นำมาจากพระราชวัง Praça da Liberdadeและตั้งชื่อถนนว่า “Avenida Dos Aliados”เพื่อเป็นเกียรติให้แก่ประเทศพันธมิตรสำหรับชัยชนะในสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ตลอดสองข้างทางของถนนสายนี้ รายล้อมด้วยสถานที่ทางประวัติศาสตร์ ตกแต่งด้วยสถาปัตยกรรมสไตล์นีโอคลาสสิก และโบซาร์อาร์ต ผสมผสานระหว่างสถาปัตยกรรมกรีกโรมันตามแนวคิดยุคเรอเนซองส์เข้าด้วยกัน เช่น ศาลาว่าการเมือง จัตุรัสลิเบอร์ตี้ สถานีรถไฟใต้ดิน ธนาคาร โรงแรม ร้านอาหาร เป็นต้น
ถนน Avenida Dos Aliados ยังเป็นแหล่งศูนย์รวมสำหรับการเฉลิมฉลองกิจกรรมต่างๆ เช่น การประกอบพิธีมิสซาของสมเด็จพระสันตะปาปา เทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ การฉลองชัยชนะสโมสรฟุตบอลปอร์โต และงานเทศกาล São João Festival ซึ่งจัดขึ้นวันที่ 23 มิถุนายนของทุกปี ติดต่อกันมากว่า 60 ปีแล้วค่ะ ช่วงกลางวันเป็นงานเฉลิมฉลอง เพื่อเป็นเกียรติแก่นักบุญเซนต์จอห์น และกลางคืนมีประเพณีการหาคู่การจีบกันแบบไม่เหมือนที่ใดในโลก ด้วยการใช้ดอกไม้กระเทียมคล้องคอ และค้อนพลาสติกทุบใส่กันอย่างสนุกสนาน ภายในงานมีการจัดคอนเสิร์ต และการจุดพลุดอกไม้ไฟ สว่างไสวไปทั่วเมือง
14.เที่ยวสะพานโค้ง (Dom Luís I Bridge)สะพานโค้ง (Dom Luís I Bridge)ก่อสร้างขึ้นในปี ค.ศ.1879 ออกแบบโดยกุสตาฟ แอแฟล (Gustave Eiffel) วิศวกรสถาปนิกที่โด่งดังจากการออกแบบหอไอเฟลประเทศฝรั่งเศส ความโดดเด่นเป็นสะพานโค้งสร้างด้วยโลหะสองชั้น ชั้นบนมีความยาวเกือบ 390 เมตร สูง 62 เมตรจากแม่น้ำ ชั้นล่างมีความยาว 174 เมตร สูง 10 เมตรจากแม่น้ำ หนักถึง 3,000 ตันเลยค่ะ สร้างขึ้นเพื่ออำนวยความสะดวกในการเดินทางระหว่างปอร์โต และวิลลา โนวา เดอ เกล์ในโปรตุเกส สามารถมาเช็คอิน เดินเล่นถ่ายรูปบนสะพานได้ทั้งกลางวันและกลางคืนขอบอกเลยวิวสวยมาก
15. เที่ยวร้านหนังสือลิฟราเรีย เลลโล (Livraria Lello) ร้านหนังสือลิฟราเรีย เลลโล Livraria Lello ชื่อดังแห่งนี้ ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1881 โดย José Lello ผู้ชื่นชอบในศิลปวัฒนธรรม รักการอ่านหนังสือ และหลงใหลในเสียงดนตรี หลังจากเปิดร้านได้หลายปี จึงชักชวน António Lello น้องชายของเขา เข้ามาทำธุรกิจหนังสือด้วยกันค่ะ และเปิดตัวอาคารใหม่ในปี ค.ศ. 1906 ซึ่งออกแบบโดยสถาปนิก Francisco Xavier Esteves ด้านหน้าอาคารตกแต่งด้วยกระจกสี กับภาพวาดที่เป็นสัญลักษณ์ของศิลปะ และวิทยาศาสตร์ ภายในร้านตกแต่งด้วยสถาปัตยกรรมที่ผสมผสานระหว่างนีโอโกธิค และอาร์ตเดคโค โดดเด่นด้วยสีแดงสดของพื้นบันไดไม้วนสองชั้น ตัดกับราวบันไดสีน้ำตาลเข้มอย่างลงตัว เข้ากับชั้นหนังสือสุดคลาสสิคได้เป็นอย่างดี เมื่อเรามองขึ้นไปบนเพดานชั้นสองของร้าน ต้องตะลึงกับกระจกสีบานใหญ่ สวยสะกดทุกสายตาแท้ทรู จน Lonely Planet ยกย่องให้เป็นหนึ่งในร้านหนังสือที่สวยงามที่สุดในโลก และที่นี่ยังเป็นแรงบันดาลใจให้ เจ เค โรว์ริ่ง ใช้เป็นที่เขียน นวนิยายแฟนตาซีระดับโลกที่คุณก็รู้ว่าใคร แฮร์รี่ พอตเตอร์ นั่นเอง!! อ้าวได้เวลาเหล่าพ่อมดแม่มดทั้งหลายวาร์ปไปเที่ยวกัน