ประวัติของประเทศโปรตุเกส
โปรตุเกสเป็นประเทศที่เก่าแก่มาก
![ประเทศโปรตุเกส](https://www.wowtogethertravel.com/wp-content/uploads/2019/08/1-600x320.png)
ชาติหนึ่งในยุโรป เดิมดินแดนส่วนนี้มีชื่อว่า Lusitania ตั้งอยู่ทางด้านตะวันตกของคาบสมุทรไอบีเรีย โดยมีชนชาติต่างๆ อาทิ ไอบีเรีย โรมัน กรีซ มุสลิม และยิว ผลัดเปลี่ยนเข้ามาตั้งรกรากในดินแดนส่วนนี้มาช้านาน ก่อนที่โปรตุเกสจะ ประกาศเป็นประเทศเอกราช
![Afonso Henriques](https://www.wowtogethertravel.com/wp-content/uploads/2019/08/Afonso-Henriques.jpg)
ในปี 1671 (ค.ศ. 1128) ภายใต้การปกครองในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราช โดยมี Afonso Henriques เป็นกษัตริย์องค์แรกของโปรตุเกส ในช่วงทศวรรษที่ 15 นับเป็นช่วงปีทองของโปรตุเกส ซึ่งมีความเจริญรุ่งเรืองอย่างมากทั้งทางด้านการทหาร การค้าขาย การเดินเรือ และการขยายอาณานิคม โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเดินเรือ โปรตุเกสประสบความสำเร็จอย่างมาก เนื่องจากความได้เปรียบทางด้านที่ตั้ง ภูมิศาสตร์ และเทคโนโลยี ความก้าวหน้าและความชำนาญในการเดินเรือ ทำให้โปรตุเกสค้นพบเส้นทางเดินเรือใหม่ๆ ผู้มีชื่อเสียงทางด้านการเดินเรือและเป็นที่รู้จักอย่างดี คือ เจ้าชาย Henry the Navigator ผู้ค้นพบทวีปแอฟริกา และนาย Vasco da Gama ซึ่งเป็นผู้ค้นพบเส้นทางเดินเรือไปยังประเทศอินเดีย จากความเจริญรุ่งเรืองทางด้านการเดินเรือ จึงส่งผลให้โปรตุเกสเป็นประเทศที่ยิ่งใหญ่ชาติหนึ่งและมีอาณานิคมมากมายในแอฟริกา ได้แก่ แองโกล่า โมซัมบิก กีนีบิสเซา เซาโตเม ปรินซิเป และเคปเวิร์ด ในละตินอเมริกา ได้แก่ บราซิล และในเอเชีย (โปรตุเกสเป็นยุโรปชาติแรกที่เข้ามาบุกเบิกเอเชีย) ประกอบด้วย เมืองกัวในอินเดีย ลังกา มะละกา มาเก๊า และหลายเมืองในอินโดนีเซีย
ในช่วงทศวรรษที่ 16 การปกครองของโปรตุเกสภายใต้ระบอบกษัตริย์เริ่มอ่อนแอลง ส่งผลให้สเปนซึ่งเป็นประเทศเพื่อนบ้าน เข้ามารุกรานและผนวกโปรตุเกสเข้าเป็นส่วนหนึ่งของสเปนในปี 2123 (ค.ศ. 1580) ต่อมาในปี 2183 (ค.ศ. 1640) กลุ่มขุนนางโปรตุเกสได้รวมตัวกันกู้เอกราชกลับคืนมาจากสเปน โดยมีฝรั่งเศสให้การสนับสนุนและสถาปนาการปกครองระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชขึ้นมาอีกครั้ง ภายใต้การปกครองของกษัตริย์ Joao IV ของราชวงศ์ Braganza จนปี 2453 (ค.ศ. 1910) จึงได้มีการปฏิวัติล้มล้างระบอบกษัตริย์และจัดตั้งการปกครองแบบสาธารณรัฐ การเมืองโปรตุเกสได้ดำเนินอย่างไร้เสถียรภาพนับตั้งแต่นั้นมา เกิดการปฏิวัติรัฐประหาร ทั้งจากฝ่ายทหารและพลเรือนมาโดยตลอด โดยรัฐบาลแต่ละชุดมักอยู่ในอำนาจได้ไม่นาน จนในปี 2469 (ค.ศ. 1926) Dr. Antonio de Oliveira Salazar เข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และได้จัดตั้งการปกครองแบบเผด็จการฝ่ายขวาที่มีระบบรัฐสภาแต่สมาชิกล้วนเป็นฝ่ายรัฐบาล โดยได้รับอิทธิพลจากระบอบฟาสซิสต์ของอิตาลี ทำให้รัฐบาลสามารถควบคุมทั้งการเมืองและเศรษฐกิจ
ในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 โปรตุเกสเข้าเป็นสมาชิกสหประชาชาติในปี 2498 (ค.ศ. 1955) โดยที่โปรตุเกสมีนโยบายไม่ยอมปลดปล่อยอาณานิคมที่มีอยู่จำนวนมาก ทุกทวีปอาณานิคมของโปรตุเกสจึงเริ่มทำสงครามกู้ชาติเพื่อปลดปล่อยตนเองตั้งแต่ปี 2504 (ค.ศ. 1961) เป็นต้นมา รัฐบาลโปรตุเกสได้ทุ่มเททรัพยากรในการทำสงครามกับดินแดนอาณานิคมเหล่านั้นเป็นเวลายาวนาน เศรษฐกิจของโปรตุเกสจึงเสื่อมโทรมลงจนมีฐานะเป็นประเทศที่ด้อยพัฒนาที่สุดประเทศหนึ่งในยุโรป จนกระทั่งเกิดการปฏิวัติล้มล้างระบบเผด็จการในโปรตุเกสเมื่อวันที่ 25 เมษายน 2517 (ค.ศ. 1974) ส่งผลให้การเมืองภายในระส่ำระสาย อาณานิคมในแอฟริกาจึงถือโอกาสเรียกร้องและได้รับเอกราชไปในที่สุด ยกเว้นติมอร์ตะวันออกที่อินโดนีเซียเข้าไปยึดครองตั้งแต่เดือนธันวาคม 2518 (ค.ศ. 1975)
ในปี 2519 (ค.ศ. 1976) รัฐบาลโปรตุเกสได้แก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อให้มีแนวทางประชาธิปไตยมากขึ้น และได้จัดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกรัฐสภาเป็นครั้งแรก ซึ่งปรากฏว่า พรรคสังคมนิยม (PS) ได้ที่นั่งในสภามากที่สุดและได้จัดตั้งรัฐบาลแบบเสียงข้างน้อย โปรตุเกสมีรัฐบาลพรรคสังคมนิยมมาจนถึงปี 2528 (ค.ศ. 1985) ซึ่งพรรคสังคมนิยมประชาธิปไตย (PSD) ได้รับเลือกเข้ามาจัดตั้งรัฐบาลเป็นครั้งแรกและคงอำนาจการปกครองยาวนานนับ 10 ปีที่ผ่านมา ระบบการเมืองโปรตุเกสขาดเสถียรภาพจากปัญหาเศรษฐกิจ ดังนั้น รัฐบาลโปรตุเกสชุดหลังๆ จึงเล็งเห็นประโยชน์จากการเข้าเป็นสมาชิกประชาคมยุโรป (EEC) ว่า จะช่วยแก้ปัญหาเศรษฐกิจของประเทศได้ จึงพยายามอย่างจริงจังเพื่อให้สามารถเข้าร่วม EEC ที่สมัครไว้ตั้งแต่วันที่ 28 มีนาคม 2520 (ค.ศ. 1977) โดยดำเนินนโยบายรัดเข็มขัดเป็นเวลา 18 เดือน ควบคุมการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ ปฏิรูปรัฐวิสาหกิจ ส่งเสริมการลงทุนโดยกระตุ้นให้ต่างชาติเข้ามาลงทุนมากขึ้น และควบคุมเงินเฟ้อ จนสามารถปรับโครงสร้างพื้นฐานด้านเศรษฐกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพเพียงพอและเข้าร่วม EEC ได้สำเร็จเมื่อวันที่ 1 มกราคม 2529 (ค.ศ. 1986) การที่โปรตุเกสเข้าร่วมเป็นสมาชิกสหภาพยุโรปได้สำเร็จ แต่มีศักยภาพทางเศรษฐกิจด้อยกว่าประเทศสมาชิกอื่นๆ เมื่อเทียบกับในอดีตที่โปรตุเกสเคยเป็นประเทศมหาอำนาจทางทะเลและมีอาณานิคมอยู่มากมาย เหตุดังกล่าวจึงเป็นปัจจัยสำคัญ ที่ผลักดันให้โปรตุเกสริเริ่มที่จะก่อตั้งประชาคมประเทศที่ใช้ภาษาโปรตุเกส (Community of Portuguese Speaking Countries-CPLP) ขึ้นในปี 2537 (ค.ศ. 1994) ซึ่งประเทศใน CPLP ประกอบด้วยประเทศอดีตอาณานิคมของโปรตุเกสในทวีปแอฟริกาและอเมริกาใต้ (โปรตุเกส บราชิล อังโกลา โมชัมบิก กินี-บิสเชา เคปเวิร์ด เชาโตเม และปรินชิเป) และติมอร์ตะวันออก โดยโปรตุเกสได้ใช้ความสัมพันธ์ทางวัฒนธรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งทางด้านภาษา เป็นจุดเชื่อมโยงในการขยายช่องทางการค้าและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ รวมทั้งเป็นฐานเสียงในการสนับสนุนด้านการเมืองซึ่งกันและกันในเวทีระหว่างประเทศ